วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559




      เป็นกฎหมายที่กำหนดเรื่องความผิด  และบทลงโทษไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ  เพราะรัฐมีหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมือง  กฎหมายอาญาจึงกำหนดความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐกับราษฎรซึ่งกระทำความผิดขึ้น

กฎหมายอาญามีลักษณะที่สำคัญ  2 ส่วน คือ
          1. ส่วนที่บัญญัติถึงความผิด  หมายความว่าได้บัญญัติถึงการกระทำ  และการงดเว้นกระทำการอย่างใดเป็นความผิดอาญา
          2. ส่วนที่บัญญัติถึงโทษ  หมายความว่าบทบัญญัตินั้น ๆ นอกจากจะได้ระบุว่าการกระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างใดเป็นความผิดแล้ว  ต้องกำหนดโทษอาญาสำหรับความผิดนั้น ๆ ไว้ด้วย
                ตัวอย่าง  ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  288  บัญญัติว่า  “ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต  จำคุกตลอดชีวิต  จำคุกตั้งแต่สิบห้าถึงยี่สิบปี”
                ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  358  บัญญัติว่า  “ผู้ใดทำให้เสียหาย   ทำลายทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น  หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
                ฉะนั้น  กฎหมายอาญาจึงต้องประกอบไปด้วยส่วนที่บัญญัติถึงความผิด  และส่วนที่บัญญัติถึงโทษด้วย  ส่วนโทษอาญาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา  ได้แก่

      (1)    ประหารชีวิต
      (2)    จำคุก
      (3)    กักขัง
      (4)     ปรับ
      (5)     ริบทรัพย์สิน

       นอกจากที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาแล้ว  ยังมีพระราชบัญญัติอื่นที่กำหนดความผิดเฉพาะเรื่อง  และวางโทษไว้ด้วย  เช่น  พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  พระราชบัญญัติอาวุธปืน  เครื่องปืน  และวัตถุระเบิด  และพระราชบัญญัติการพนัน  พระราชบัญญัติจราจรทางบก  พระราชบัญญัติศุลกากร  เป็นต้น  พระราชบัญญัติพิเศษที่ระบุความผิดทางอาญา  และกำหนดโทษไว้ด้วยเหล่านี้รวมเรียกว่ากฎหมายอาญาทั้งสิ้น
หลักเกณฑ์สำคัญของประมวลกฎหมายอาญา  มีดังนี้

1. จะไม่มีความผิดโดยไม่มีกฎหมาย  หมายความว่า  กฎหมายอาญาจะใช้บังคับได้เฉพาะการกระทำซึ่งกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนี้ถือว่าเป็นความผิด  ถ้ากฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำไม่ถือว่าเป้ฯความผิดแล้ว  จะถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดไม่ได้  และจะลงโทษกันไม่ได้  หลักเรื่องกฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังนี้  กฎหมายไม่ให้ย้อนหลังก็เฉพาะที่จะเป้ฯผลร้ายแก่ผู้กระทำความผิดเท่านั้น  เช่น  การกระทำความผิดใดที่ล่วงเลยการลงโทษ  หรือล่วงเลยอายุความฟ้องร้อง  แม้จะได้มีกฎหมายใหม่บัญญัติกำหนดอายุความมากขึ้นกว่าเดิม  ก็จะเอาตัวผู้กระทำมาฟ้องร้องลงโทษไม่ได้  แต่หากกฎหมายใหม่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดมากกว่ากฎหมายเก่าเช่นนี้  กฎหมายก็ให้มีผลย้อนหลังได้  เช่น ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 3 บัญญัติว่า  “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด  ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด...”

2. จะไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย คือบุคคลจะต้องรับโทษต่อเมื่อมีกฎหมาย ที่ใช้อยู่ในขณะกระทำบัญญัติให้ต้องรับโทษนั้น ๆ เช่น การกระทำความผิดที่มีแต่โทษปรับ ศาลก็ลงโทษได้แต่โทษปรับ ศาลจะลงโทษจำคุกซึ่งไม่ใช้โทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ได้

3. จะต้องตีความกฎหมายอาญาโดยเคร่งครัด กล่าวคือ กรณีที่ถ้อยคำของกฎหมายเป็นที่น่าสงสัย จะตีความโดยขยายความไปลงโทษหรือเพิ่มโทษผู้ต้องหาไม่ได้ แต่อาจตีความโดยขยายความให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาได้ ฉะนั้น หลักเกณฑ์ของกฎหมายอาญาจึงเกิดโดยตรงจากตัวบทเท่านั้น และการตีความบทบัญญัติทั้งหลายนั้นก็จะต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ การกระทำที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดนั้น และการตีความบทบัญญัติทั้งหลายนั้นก็จะต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ การกระทำที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดนั้น จะต้องอยู่ในความหมายตามปกติธรรมดาของถ้อยคำทั้งหลายที่ใช้ในกฎหมายนั้น จะขยายถ้อยคำเหล่านั้นออกไปไม่ได้

4. การอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย  ในกรณีที่ประมวลกฎหมายอาญาหรือพระราชบัญญัติอื่นที่บัญญัติความผิดและโทษไม่มีบัญญัติไว้  ซึ่งเรียกว่าช่องว่างแห่งกฎหมายนั้น  ศาลจะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นผลร้ายแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้  แต่ศาลอาจอุดช่องว่างแห่งกฎหมายเพื่อให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

บทความยอดนิยม

Facebook