เนื่องจากกฎหมายอาญามีความประสงค์ที่จะคุ้มครองความปลอดภัยของชุมชนแต่กฎหมายแพ่งมีความประสงค์ที่จะคุ้มครองสิทธิของเอกชน จึงมีข้อแตกต่างที่สำคัญดังนี้
1.
ความผิดทางอาญาเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเสียหายหรือเกิดความหวาดหวั่นคร้ามแก่บุคคลทั่วไป ความผิดทางอาญาส่วนใหญ่จึงถือว่าเป็นความผิดต่อแผ่นดินหรือประขาชนทั่วไป
ส่วนความผิดทางแพ่งเป็นเรื่องระหว่างเอกชนต่อเอกชนด้วยกัน ไม่มีผลเสียหายต่อสังคมแต่อย่างใด
2.
กฎหมายอาญานั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะลงโทษผู้กระทำความผิด ฉะนั้น
หากผู้ทำผิดตายลง
การสืบสวนสอบสวน การฟ้องร้อง หรือการลงโทษก็เป็นอันระงับลงไป
ส่วนความผิดทางแพ่งเป็นเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล ดังนั้น
เมื่อผู้กระทำผิดหรือผู้ละเมิดตายลง
ผู้เสียหายย่อมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ จากกองมรดกของผู้กระทำผิดหรือผู้ละเมิดได้ เว้นแต่จะเป็นหนี้เฉพาะตัวเช่น แดงจ้างดำวาดรูป ต่อมาดำตายลง
ถือว่าหนี้ระงับลง
3.
ความรับผิดทางอาญาถือเจตนาเป็นใหญ่ในการกำหนดโทษ
เนื่องจากการกระทำผิดดังที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59
บัญญัติว่า “บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท
ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา...”
ส่วนความรับผิดทางแพ่งนั้น
ไม่ว่ากระทำโดยเจตนาหรือประมาทผู้กระทำก็ต้องรับผิดทั้งนั้น
4.
กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด
ถ้าไม่มีกฎหมายย่อมไม่มีความผิดและไม่มีโทษ เพราะกฎหมายอาญามีโทษรุนแรง
แต่กฎหมายแพ่ง
หลักเรื่องตีความโดยเคร่งครัดไม่มี
กฎหมายแพ่งต้องตีความตามตัวอักษรหรือตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น ๆ
ดังนั้น การที่จะเป้นความผิดทางแพ่งนั้น ศาลอาจตีความขยายได้
5. ความรับผิดทางอาญานั้น
โทษที่จะลงแก่ตัวผู้กระทำผิดถึงโทษประหารชีวิต จำคุก กักขัง
ปรับ ริบทรัพย์สิน
ส่วนทางกฎหมายแพ่งนั้นไม่มีโทษ เป็นเพียงถูกบังคับให้ชำระหนี้หรือชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
6. ความผิดทางอาญาส่วนใหญ่ไม่อาจยอมความได้
เว้นแต่ความผิดต่อส่วนตัวหรือที่กฎหมายอาญาบัญญัติไว้ ความผิดอันยอมความได้เช่น ความผิดฐานหมิ่นประมาท ความผิดฐานยักยอก เป็นต้น
เหตุผลก็คือ
ความผิดทางอาญาถือว่าทำความเสียหายให้แก่มหาชน ทำลายความสงบสุขของบ้านเมือง ผู้เสียหายจึงไม่อาจยกเว้นความรับผิดให้ได้
ส่วนความผิดทางแพ่ง
ผู้เสียหายอาจยกเว้นความรับผิดให้ได้โดยไม่นำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล หรือเรียกร้องหนี้สินแต่อย่างใดเลย
7. ความผิดในทางอาญา
บุคคลที่ร่วมกระทำผิดอาจมีความรับผิดมากน้อยต่างกันตามลักษณะของการเข้าร่วม เช่น
ถ้าเป็นผู้ลงมือกระทำผิดก็ถือเป็นตัวการ
ถ้าเพียงแต่ยุยงหรือช่วยเหลือก็อาจผิดเพียงฐานะผู้สนับสนุน
ส่วนความผิดทางแพ่ง
ผู้ที่ร่วมกันก่อหนี้ร่วมกันทำผิดสัญญาหรือร่วมกันทำละเมิดตลอดทั้งยุยงหรือช่วยเหลือ จะต้องร่วมกับรับผิดต่อเจ้าหนี้หรือผู้ได้รับความเสียหายเหมือนกันหมด
8. ความรับผิดทางอาญา
การลงโทษผู้กระทำผิดก็เพื่อที่จะบำบัดความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่ชุมชนเป็นส่วนรวม
เพื่อให้ผู้กระทำผิดเกิดความหลาบจำและกลับตัวกลับใจเป็นคนดี อีกทั้งเพื่อป้องกันผู้อื่นมิให้เอาเยี่ยงอย่าง
ส่วนความรับผิดทางแพ่ง
กฎหมายมีวัตถุประสงค์ที่จะบำบัดความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เอกชนคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ ซึ่งอาจได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย
จิตใจ เสรีภาพ ชื่อเสียง
ทรัพย์สิน
ความเสียหายได้เกิดขึ้นอย่างใด
กฎหมายก็ต้องการที่จะให้เขาได้รับการชดใช้ในความเสียหายอย่างนั้น
ถ้าทำให้คืนสภาพเดิมไม่ได้ก็พยายามจะให้ใกล้เคียงมากที่สุด
บุคคล หมายถึง
สิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย
และมิได้หมายความเฉพาะมนุษย์ซึ่งก็เรียกว่าบุคคลธรรมดาเพียงอย่างเดียว
แต่กฎหมายได้รับรองบรรดาคณะบุคคลหรือกิจการและทรัพย์สินบางอย่างตามกฎหมายที่กำหนดไว้
ให้เป็นบุคคลในความหมายของกฎหมายได้อีกประการหนึ่งกล่าวคือให้มีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดา เช่น
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
ห้างหุ้นส่วนจำกัด
บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ แต่สิทธิและหน้าที่บางประการ ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นได้เฉพาะแก่มนุษย์เพียงเท่านั้น เช่น
การสมรส การรับรองบุตร ฯลฯ บุคคลซึ่งกฎหมายให้สิทธิพิเศษนี้ไว้เรียกว่านิติบุคคลซึ่งก็มีความหมายตามกฎหมายอยู่แล้ว
บุคคลซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดมีบทบัญญัติของกฎหมายขึ้น
ดังนั้นบุคคลก็ต้องเป็นผู้รับรู้และปฏิบัติตามให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งก็จะได้ประโยชน์จากการรับรู้จากกฎหมายกำหนดไว้จึงจำเป็นต้องศึกษาให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ถึงการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ในเรื่องต่าง
ๆ
การศึกษาในส่วนของเรื่องบุคคลนั้นจึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.
บุคคลธรรมดา
2.
นิติบุคคล
บุคคลธรรมดา
บุคคลธรรมดา หมายถึง
สิ่งที่มีชีวิตสามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย คือมนุษย์ทั้งปวงจะเป็นหญิง ชาย
เด็ก คนชรา
หรือเป็นผู้บกพร่องในความสามารถหรือเป้ฯคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามถือเป็นบุคคลธรรมดาทั้งสิ้นโดยมีสาระสำคัญที่ศึกษาต่อไปนี้
1.
สภาพบุคคล
2.
สิ่งที่ประกอบสภาพบุคคล
สภาพบุคคล
การเริ่มสภาพบุคคล
ป.พ.พ. มาตรา 15 บัญญัติว่า “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย
ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่าง
ๆ
ได้หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก”
หมายความว่าการเริ่มสภาพบุคคลต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2
ประการ คือ
1.
คลอดจากครรภ์มารดาและ
2.
อยู่รอดเป็นทารก
คลอด
หมายถึง คลอดจากครรภ์มารดา
และต้องเป็นการคลอดอย่างสมบูรณ์คือต้องล่วงพ้นออกจากครรภ์มารดาแล้วทั้งตัว
โดยไม่มีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของทารกติดค้างอยู่จะตัดสายสะดือหรือยังไม่ถือเป็นข้อสำคัญ
อยู่รอดเป็นทารก หมายความว่า
ทารกที่คลอดจากครรภ์มารดาแล้วมีชีวิตอิสระเป็นของตนเอง
สามารถหายใจได้ด้วยตนเองแม้ว่าจะหายใจได้เพียงครั้งเดียวแล้วตายก็ถือว่ามีสภาพบุคคลแล้ว ส่วนทารกที่ตายก่อนคลอดหรือในขณะคลอด ไม่ถือว่ามีสภาพบุคคล
การชันสูตรพลิกศพทารกสามารถกระทำได้โดยการตรวจปอดของทารกว่ามีอากาศในปอดหรือไม่
โดยการนำเอาปอดไปลอยน้ำเพื่อดูการพองตัวของถุงลมจะช่วยวินิจฉัยได้ว่า ทารกตายก่อนคลอดหรือตายภายหลังที่คลอดแล้ว
สำหรับทารกในครรภ์มารดากฎหมายก็รับรองให้มีสิทธิต่าง
ๆ ได้โดยมีเงื่อนไขว่า
ต่อมาทารกนั้นจะต้องคลอดออกมา
มีชีวิตเป็นต้นว่า
สิทธิในการรับมรดกจากบิดาที่ตายในระหว่างเด็กยังอยู่ในครรภ์มารดา ถ้าภายหลังเกิดมามีชีวิตก็จะได้รับมรดกของบิดาตามส่วนที่ควรจะได้
เว้นแต่ทารกนั้นตายก่อนคลอดหรือขณะคลอดก็ไม่มีสิทธิรับมรดก แต่การคลอดนี้จะต้องคลอดภายในระยะเวลา 310
วัน
นับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติ ป.พ.พ.
มาตรา 1604 บัญญัติว่า “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคล หรือสามารถมีสิทธิได้ตามมาตรา 15
แห่งประมวลกฎหมายนี้ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ให้ถือว่าเด็กที่เกิดมารอดอย่าภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายนั้นเป็นทารกในครรภ์มารดาอยู่ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”
ตัวอย่าง นางแดงตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน นายเขียวสามีก็ตาย ต่อมาอีกประมาณเดือนเศษนายแดงคลอดบุตรมาและมีชีวิตอยู่เช่นนี้ก็ถือว่ามีสิทธิตามกฎหมายและมีสิทธิที่จะรับมรดกของนายเขียวผู้เป็นบิดาได้
กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1604
ดังกล่าวนั้นเป็นกรณีที่บิดาของทารกในครรภ์มาตราถึงแก่ความตายไปก่อนทารกจะคลอดถ้าเป็นกรณีบิดาไม่ตายแต่หย่าขาดกับมารดาของทารกนั้นทารกคลอดหลังจากขาดจากการสมรสย่อมจะเสียสิทธิอันควรจะได้รับจากบิดาของเขา ในกรณีที่เป็นเช่นนี้กฎหมายได้บัญญัติคุ้มครองประโยชน์ของทารกนั้นไว้ให้เช่นเดียวกันดังบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1536 ว่า “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี”
ตัวอย่าง
เช่นนายเขียวและนางวิไลอยู่กินกันสามีภริยาต่อมานางวิไลตั้งครรภ์ได้หกเดือนนายเขียวไปมีภริยาน้อยทำให้นางวิไลโกรธแค้น จึงขอจดทะเบียนหย่ากับนายเขียวและต่อมาอีประมาณสามเดือนนางวิไลก็คลอดบุตรมามีชีวิตรอด
เช่นนี้บุตรที่คลอดมาก็ย่อมเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายเขียว
วันเกิดของบุคคล คือวันที่ทารกคลอด
และมีชีวิตอยู่รอดเป็นวันที่ทารกเริ่มมีสภาพบุคคลตามกฎหมาย โดยปกติเมื่อเด็กเกิด บิดามารดาจะจดบันทึกวันเดือนปีและเวลาของเด็กไว้เสมอ นอกจากนี้
พ.ร.บ. ทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. 2499
มาตรา 11
ยังได้บังคับให้เจ้าบ้านหรือบิดามารดาไปแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนท้องที่ เพื่อลงทะเบียนคนเกิดภายใน 15
วันนับแต่วันเกิด
อย่างไรก็ตามบางครั้งอาจเกิดปัญหาในเรื่องวันเกิดขึ้นได้ เช่น
เด็กเกิดในท้องที่ห่างไกลความเจริญ
บิดามารดาไม่รู้หนังสือจดวันเดือนปีไม่ถูกหรือจดถูกแต่สูญหาย
ไม่ได้ไปแจ้งต่อนายทะเบียนหรือกรณีทะเบียนราษฎร์ถูกทำลายหรือสูญหายทำให้ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้และไม่มีหลักฐานอื่นค้นคว้าได้ว่าบุคคลนั้นเกิดในวันอะไร เดือนอะไรแน่นอน
กรณีนี้กฎหมายบัญญัติกำหนดวันและเดือนเกิดให้โดย ป.พ.พ. มาตรา 16 บัญญัติว่า
“การนับอายุของบุคคล
ให้เริ่มนับแต่วันเกิด
ในกรณีที่รู้ว่าเกิดในเดือนใดแต่ไม่รู้วันเกิดให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด แต่ถ้าพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้เดือนและวันเกิดของบุคคลใดให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด”
ตัวอย่าง กรณีรู้ว่าเกิดเดือนอะไรแต่ไม่รู้วันเกิด เช่น
นายพรเกิดเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2512
แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันที่เท่าไร ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 16 บัญญัติให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด จึงถือได้ว่านายพร เกิดวันที่ 1
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 สำหรับกรณีที่ไม่รู้ทั้งวันและเดือนเกิดมาตรา
16 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด
ตัวอย่าง นาสมคิด
ได้ทำนิติกรรมโดยลำพังตนเองขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม
2530
ต่อมามีผู้คัดค้านว่านิติกรรมเป็นโมฆียะ
เพราะนายสมคิดเป็นผู้เยาว์
ปรากฏว่านายสมคิดเกิดในปี พ.ศ. 2510
แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันอะไร
เดือนอะไร กรณีนี้ต้องนำเอามาตรา 16 ตาม ป.พ.พ. มาใช้บังคับโดยถือว่านายสมคิด เกิดวันที่ 1 มกราคม 2510
นิติกรรมที่นายสมคิดทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2530
จึงสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆียะเพราะถือว่านายสมคิดบรรลุนิติภาวะ พ้นภาวการณ์เป็นผู้เยาว์แล้วตั้งแต่วันที่ 2
มกราคม 2530