นิติกรรมคืออะไร
1. ความหมายของนิติกรรม
นิติกรรม หมายความว่าการใด ๆ
อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร
มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ
เปลี่ยนแปลง โอน สงวน
หรือระงับซึ่งสิทธิ
2. ลักษณะของนิติกรรม
ลักษณะสำคัญของนิติกรรมมีดังนี้
2.1 เป็นการกระทำของบุคคลโดยมีการแสดงเจตนา เฉพาะบุคคลเท่านั้นที่จะแสดงเจตนาได้ อาจจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลก็ได้
ตัวอย่าง เช่น จากภาพยนตร์โฆษณา
ที่เห็นสุนัขคาบเงินมาซื้ออาหารไม่ถือเป็นนิติกรรมเพราะสุนัขไม่ใช่บุคคลตามกฎหมาย
การแสดงเจตนาคือการทำด้วยประการใด ๆ
ให้ปรากฏออกมาเป็นที่เข้าใจได้ถึงเจตนาภายในอันต้องการของบุคคล โดยที่เจตนาภายในของผู้ต้องการกระทำนิติกรรมเป็นสิ่งซึ่งไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ได้ ดังนั้นการมีเจตนาอยู่ในจิตใจของบุคคลใด ๆ
จึงไม่เกิดผลในกฎหมายแต่อย่างใด
ถ้าประสงค์จะให้เกิดผลในกฎหมาย
บุคคลนั้นต้องแสดงเจตนาออกมาให้ปรากฏ
การแสดงเจตนาอาจกระทำได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ
เช่น โดยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร
หรือแม้โดยการแสดงอากัปกิริยาอาการซึ่งทำให้ปรากฏออกมาให้เป้ฯที่เจ้าใจได้ถึงเจตนาภายในของบุคคลที่แสดงนั้น
ตัวอย่าง
1. นายกุ๊กต้องการซื้อระจักรยานจากนายไข่
มีการต่อรองราคาและตกลงซื้อ
ถือเป็นการแสดงเจตนาซื้อจักรยานด้วยวาจาแล้ว
2. นายจันทร์เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์บนแผงหนังสือโดยไม่พูดจาอะไร แล้ววางเงินแปดบาทบนโต๊ะ
ถือเป็นการแสดงเจตนาโดยมีท่าทางหรืออากัปกิริยาในการซื้อหนังสือพิมพ์แล้ว
3. นายสมเดชรับหนังสือพิมพ์ไทราชติดต่อกันเป็นเวลานาน
เมื่อหมดอายุสมาชิกสำนักพิมพ์ยังคงส่งมาให้เช่นเดิม โดยนายสมเดชไม่ส่งคืน
ถือเป็นการแสดงเจตนารับหนังสือพิมพ์ต่ออย่างหนึ่ง
2.2 ต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
ตัวอย่าง เช่น นายดำทำนิติกรรมเสนอขอซื้อปากกาของนายแดงโดยตกลงกันว่า
ถ้านายแดงจะสอนงตอบให้ตบหน้านายเขียว
1 ครั้ง แม้นายแดงจะตบหน้านายเขียวแล้วก็ตาม การตบหน้าเป้ฯการกระทำละเมิด ไม่ถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ถือว่าเป็นนิติกรรม
2.3 ต้องเป็นการกระทำด้วยใจสมัคร
ไม่มีบุคคลใดมาหลอกลวงหรือข่มขู่
หรือสำคัญผิดให้ผู้กระทำนิติกรรมนอกเหนือจากความต้องการแล้วยังอาจรวมถึงการกระทำที่ขาดเจตนา เช่น
กระทำในขณะปราศจากความรู้สึกตัว
หรือละเมอไม่ได้สติหรือคนวิกลจริต
หรือเด็กไร้เดียงสาได้กระทำการใดไปก็น่าจะถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยปราศจากใจสมัครด้วย
ตัวอย่าง 1
จับมือผู้ป่วยมีสติไม่ปกติ
พูดจาไม่รู้เรื่องให้พิมพ์ลายนิ้วมือ
หรือจับมือให้เซ็นในใบมอบอำนาจ
เป็นการกระทำที่ขาดเจตนาที่เรียกว่าไม่สมัครใจทำ ไม่เป็นนิติกรรม
2
นายเขียวนอนหลับละเมอเซ็นเช็คไม่ถือเป็นการทำโดยสมัครใจ จึงไม่ใช่นิติกรรม
2.4
ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งโดยตรงที่จะให้เกิดผลในทางกฎหมายขึ้นระหว่างบุคคล ดังนั้นกรพูดจาล้อเล่น การแสดงอัธยาศัยไมตรีทางสังคมคำปรารภ หรือการเชื้อเชิญ เป็นต้น
ไม่ถือเป็นนิติกรรม
ตัวอย่าง เช่น
นายแดงนัดกับนายเขียวว่าหลังสอบเสร็จจะเลี้ยงข้าวและหนัง ไม่ถือเป็นนิติกรรม
2.5 ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิ
เพื่อก่อสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิโอนสิทธิ สงวนสิทธิ หรือระงับสิทธินั้น
ตัวอย่าง 1.
นายแดงทำสัญญาให้นายขาวเช่าบ้าน ก่อให้เกิดสิทธิตามสัญญาเช่า
ผู้ให้เช่าต้องให้ผู้เช่าใช้ประโยชน์ในบ้านที่ตกลงเช่า
หรือผู้เช่าต้องจ่ายค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่า เป็นต้น
2. นายชมพูขายม้าให้แก่นายส้ม
ทำให้กรรมสิทธิ์ในตัวม้าย่อมโอนจากนายชมพูไปยังนายส้ม
3. นายคำเป็นเจ้าหนี้นายเหลือง
100,000 บาท และเข้าทำสัญญาจำนองกับนายเหลือง
หรือโดยมีนายฟ้าเป็นผู้รับประกันนายเหลืองในการที่จะใช้เงินที่ค้างชำระ การที่ได้กระทำลงทั้งนี้เพื่อสงวนสิทธิของนายดำ
4. นายเขียวกู้ยืมเงินนายม่วง
เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเขียวนำเงินต้นและดอกเบี้ยไปชำระ เมื่อนายม่วงได้รับชำระหนี้แล้ว หนี้เงินกู้เป็นอันระงับสิ้นไป
นายม่วงจะเรียกให้นายเขียวชำระหนี้เงินกู้ยืมอีกไม่ได้
3. แบบของนิติกรรม
แบบของนิติกรรมหรือกรอบพิธีภายนอกของนิติกรรมนั้น
โดยหลักแล้วแม้นิติกรรมจะสมบูรณ์เมื่อมีการแสดงเจตนาก็ตาม แต่การแสดงเจตนาอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ
ต้องทำตามแบบหรือกรอบพิธีภายนอกของนิติกรรมเสียก่อน มิฉะนั้นมีผลเป็นโมฆะ
กล่าวโดยสรุป แบบของนิติกรรม
หมายถึงวิธีการหรือพิธีการที่กฎหมายกำหนดและบังคับให้ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมต้องปฏิบัติตาม เพื่อความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่ทำ
อย่างไรก็ตามกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบนิติกรรมในทุกเรื่อง หากนิติกรรมใดกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้ นิติกรรมนั้นอาจสมบูรณ์ได้เพียงการแสดงเจตนา
ตัวอย่าง
เช่นต้องการซื้อข้าวผัด 1 ห่อ
เพียงสั่งข้าวผัดและคนขายผัดข้าวผัดส่งให้
เป็นการแสดงเจตนาด้วยวาจา
เพียงเท่านี้นิติกรรมซื้อขายข้าวผัดก็เกิดแล้ว กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบของนิติกรรม
แบบของนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น
สามารถแยกเป็น 4 ประเภทดังนี้
3.1 แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพบนักงานเจ้าหน้าที่เช่น สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์พิเศษซึ่งได้แก่เรือกำปั่นหรือเรือที่มีระวางตั้งแต่ 6
ตันขึ้นไป
เรือยนต์หรือเรือกลไฟมีระวางตั้งแต่
5 ตันขึ้นไป แพและสัตว์พาหนะ แลกเปลี่ยน ให้ จำนอง
เป็นต้น
กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ตัวอย่าง เช่น นายประสงค์ตกลงซื้อบ้านของนายประสิทธิ์ โดยมีการชำระราคาและส่งมอบบ้านให้เข้าอยู่อาศัย เช่นนี้การซื้อขายบ้านตกเป็นโมฆะเพราะทำผิดแบบที่กฎหมายกำหนด
3.2 แบบที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
แบบของนิติกรรมประเภทนี้กำหนดเพียงต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้นไม่ได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ เช่น
การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท
การจดทะเบียนสถานะของบุคคล ได้แก่การเกิด การตาย
การสมรส การหย่า การรับรองบุตร
การรับบุตรบุญธรรม
กฎหมายกำหนดให้ต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ตัวอย่าง เช่น นายศักดิ์แต่งงานกับนางสาวศรี โดยจัดงานที่โรงแรมอย่างใหญ่โต ไม่ถือเป็นการสมรส เพราะการสมรสต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น
3.3 แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น
การทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองหรือแบบลับ
ตัวอย่าง เช่น นายไก่ต้องการพินัยกรรมแบบเอกสารลับ โดยเขียนพินัยกรรม และผนึกพินัยกรรมพร้อมลงลายมือชื่อคาบรอยผนึก และต้องนำไปแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
3.4 แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือ
กล่าวคือต้องลงลายมือชื่อในหนังสือที่ทำนิติกรรม หนังสือนั้นจะทำเป็นภาษาต่างประเทศก็ได้ จะเขียนเองหรือพิมพ์ก็ได้
ส่วนลายมือชื่อนั้น
หากคู่กรณีต้องการใช้พิมพ์นิ้วมือ
หรือเป็นแกงไดตราประทับ
หรือเครื่องหมายอื่นทำนองเช่นว่านั้นแทนการลงลายมือชื่อ
หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนให้ถือเสมือนกับลงลายมือชื่อ
นิติกรรมที่ต้องทำเป็นหนังสือ
เช่น สัญญาเช่าซื้อ
หรือการทำพินัยกรรมแบบธรรมดา เป็นต้น
ตัวอย่าง นายแดงต้องการเช่าซื้อโทรทัศน์ราคา
6,000 บาท ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ สัญญาเช่าซื้อนั้นตกเป็นโมฆะ
ข้อสังเกต
ส่วนการส่งมอบ
เป็นเพียงเงื่อนไขหนึ่งของนิติกรรมที่ทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ ไม่ถือเป็นแบบที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ
ตัวอย่าง เช่น ในสัญญาหมั้นต้องมีการส่งมอบของหมั่นให้แก่กัน
แม้ไม่ส่งมอบของหมั่นก็ไม่ทำให้สัญญาหมั้นตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด เพราะไม่ใช่แบบของการหมั่น แต่จะทำให้สัญญาหมั้นไม่สมบูรณ์เท่านั้น
4. ความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรม
บุคคล หมายถึง
สิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย ดังนั้นโดยหลักแล้วบุคคลย่อมมีความสามารถในการทำนิติกรรมได้ทั้งสิ้น เว้นแต่บุคคลนั้นจะเป็นผู้หย่อนความสามารถหรือกฎหมายจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรมไว้
ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือคุ้มครองผลประโยชน์ของบุคลเหล่านั้น
ผู้หย่อนความสามารถ
หมายถึงบุคคลดังต่อไปนี้
4.1 ผู้เยาว์ หมายถึง บุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย ซึ่งบุคคลจะบรรลุนิติภาวะได้ มีเงื่อนไขดังนี้
ก. อายุครบ 20
ปีบริบูรณ์
ข.
ทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งการสมรสตามกฎหมายนั้นจะทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุ 17
ปีบริบูรณ์ โดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมของทั้งสองฝ่าย หรือหากมีอายุน้อยกว่า 17
ปี หากมีเหตุสมควรและมีดุลพินิจของศาลอนุญาตให้สมรสได้
บุคคลดังกล่าวนั้นจะกลายเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย แม้ต่อมาหย่าขาดจากกันขณะอายุยังไม่ถึง 20 ปี ก็ยังคงเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะเช่นเดิม
ตัวอย่าง เช่น
นางสาวเดือนอายุ 16 ปี
ตั้งครรภ์
หากศาลมีดุลพินิจเห็นควรอนุญาตให้นางสาวเดือนสมรสกับนายเด่นได้
เช่นนี้นางสาวเดือนถือเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
การทำนิติกรรมของผู้เยาว์
ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน หาฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง เช่น นายเล็กอายุ 15 ปี ไปซื้อมอเตอร์ไซด์ ราคา
50,000 บาท นิติกรรมที่นายเล็กซึ่งเป็นผู้เยาว์ซื้อมอเตอร์ไซด์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม มีผลเป็นโมฆียะ
มีข้อยกเว้นซึ่งผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
มี 3 กรณี ดังนี้
1)
นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้สิทธิ
หรือหลุดพันจากหน้าที่
ถือเป็นนิติกรรมที่ได้ประโยชน์แก่ผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว เช่น การรับทรัพย์ที่มีผู้ยกให้โดยเสน่หา การรับมรดกโดยไม่มีภาระติดพันหรือมีเงื่อนไขใด
ๆ และการปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น
ยายของเด็กชายนิดยกที่ดินให้เด็กชายนิดซึ่งเป็นหลานโดยทำใบมอบอำนาจให้หลานไปทำนิติกรรมแทน แม้เด็กชายนิดจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เป็นผู้รับมอบอำนาจได้
ถือเป็นเรื่องที่ผู้เยาว์สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยลำพัง
2) นิติกรรมที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้เยาว์
โดยความสมัครใจของผู้เยาว์ผู้แทนโดยชอบธรรมจะแสดงเจตนาแทนไม่ได้ เช่น
การทำพินัยกรรมการรับรองบุตรเพื่อเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ เป็นต้น
ตัวอย่าง
1. นายไก่ อายุ 16 ปี มีบุตรชื่อเด็กชายไข่
นายไก่ต้องการรับรองบุตรเพื่อให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของตน แม้บิดามารดาของนายไก่ไม่ยินยอม
ถือเป็นเรื่องที่นายไก่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพัง
2. นายขวดอายุ 15 ปี ต้องการทำพินัยกรรมเพื่อยกทรัพย์สินของตนให้นางสาวฉิ่งเผื่อตนเองตาย ถือเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ผู้เยาว์ทำได้
แต่กฎหมายกำหนดให้การทำพินัยกรรมจะทำได้ต้องอายุ 15 ปีบริบูรณ์
หากอายุไม่ถึง 15 ปี พินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ
3) นิติกรรมที่จำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีพ
และสมแก่ฐานะของผู้เยาว์ได้แก่การซื้ออาหารรับประทาน การซื้อของใช้ที่จำเป็น เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น เด็กชายแก่นอายุ 14 ปี
ซื้อข้าวผัดเพื่อรับประทาน
ถือว่าเป็นนิติกรรมเพื่อการเลี้ยงชีพ
สามารถทำได้โดยลำพัง
แต่หากเด็กชายแก่นจัดงานเลี้ยงเพื่อนฝูงหรือรับประทานอาหารในโรงแรมห้าดาว เป็นเงิน 30,000 บาท
เช่นนี้ไม่ถือเป็นการกระทำอันสมควรแม้เพื่อการเลี้ยงชีพแต่ไม่สมแก่ฐานะของผู้เยาว์
ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน
ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า
ฐานานุรูปความจำเป็นและสมควรเหล่านี้จะถือเอาตามที่เป็นจริงหรือตามที่บุคคลผู้ทำการติดต่อเกี่ยวกับผู้เยาว์เข้าใจเอาเองซึ่งกรณีนี้ศาลอังกฤษตัดสินถือเอาตามความเป็นจริง
ถ้าผู้เยาว์มีของใช้จำเป็นอยู่เพียงพอแล้วยังไปทำนิติกรรมจับจ่ายเกินจำเป็น แม้ผู้ขายของให้จะไม่รู้ก็ไม่ผูกพันผู้เยาว์
การที่ทำไปนั้นตกเป็นโมฆียะ ตามตัวบทของกฎหมายไทยยังไม่เห็นมีทางที่จะแปลไปได้เป็นอย่างอื่น
ฐานะของผู้เยาว์ในเรื่องการทำนิติกรรมจึงออกจะตกหนักแก่พ่อค้าอยู่มาก เพราะไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแสดงฐานะ
แต่มีนิติกรรมบางอย่างที่กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของผู้เยาว์ซึ่งกฎหมายเห็นเป็นเรื่องสำคัญ ผู้เยาว์ทำโดยลำพังไม่ได้
แม้ผู้แทนโดยชอบธรรมจะให้ความยินยอมก็ทำไม่ได้
ต้องให้ศาลเข้ามาควบคุมการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ มีนิติกรรมดังนี้เช่น ขาย
แลกเปลี่ยน จำนอง ขายฝาก
ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า
3 ปี ให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือให้กู้ยืมเงินเป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องให้ศาลอนุญาตก่อน
ตัวอย่าง เช่น นายใหญ่
และนางน้อย ยกบ้านของตนให้กับเด็กชายเยี่ยม
อายุ 3
ขวบ
ต่อมาครอบครัวมีปัญหาทางการเงินต้องการขายบ้านหลังดังกล่าวของเด็กชายเยี่ยม การขายบ้านทำไม่ได้แม้บิดามารดาจะยินยอมหรือจะอ้างความจำเป็นทางเศรษฐกิจเพื่อขายบ้านของเด็กชายเยี่ยมไม่ได้ ต้องให้ศาลอนุญาตเท่านั้น
4.2 คนไร้ความสามารถ หมายถึง
คนวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ และตั้งผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลคนไร้ความสามารถ
การทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถนั้น
คนไร้ความสามารถจะทำนิติกรรมโดยลำพังไม่ได้
หรือทำโดยได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลไม่ได้มิฉะนั้นนิติกรรมจะตกเป็นโมฆียะ
ข้อสังเกต
กรณีของคนวิกลจริตที่ศาลไม่ได้สั่งให้คนไร้ความสามารถนั้น
เนื่องจากคนวิกลจริตนี้ไม่จำต้องมีสติรู้สึกผิดชอบอยู่ตลอดเวลา หากขณะทำนิติกรรมทำไปโดยรู้สึกผิดชอบ
ถึงแม้คู่กรณีอีกฝ่ายจะรู้ว่าเป็นบุคคลวิกลจริต นิติกรรมสมบูรณ์ใช้ได้
แต่หากขณะนิติกรรมทำไปโดยไม่รู้สึกผิดชอบและคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าเป็นคนวิกลจริต นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง เช่น นายใจเป็นคนบ้า เดินไปซื้อรถเก๋ง 1 คัน ขณะซื้อรถเก๋งไม่ได้บ้าพูดคุยรู้เรื่อง นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ แต่หากขณะที่นายใจมาซื้อรถมีอาการเป็นบ้าพูดคุยไม่รู้เรื่องเพียงแต่มีเงินซื้อรถเท่านั้น หากอีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าบ้ายังขายรถให้ นิติกรรมนั้นไม่ผลเป็นโมฆียะ
4.3 คนเสมือนไร้ความสามารถ หมายถึง
คนที่ไม่ถึงกับวิกลจริต
แต่มีเหตุบกพร่องบางประการไม่สามารถจัดการงานของตนได้ ศาลจึงตั้งผู้ดูแลคนเสมือนไร้ความสามารถ เรียกว่า
ผู้พิทักษ์
การทำนิติกรรม
โดยหลักคนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมได้โดยลำพัง ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์
แต่มีข้อยกเว้นในการทำนิติกรรมบางประเภทเท่านั้นที่กฎหมายกำหนดให้คนเสมือนไร้ความสามารถต้องได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือโดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ หากฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน นำทรัพย์สินไปลงทุนการรับประกัน การให้โดยเสน่หา การเสนอคดีต่อศาล หรือการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น
นายไก่เห็นว่านายไข่บุตรชายของตนซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ติดสุรา
ชอบเล่นการพนัน
จนไม่สามารถจะจัดการเรื่องทรัพย์สินของตนเองได้ นายไก่อาจร้องขอต่อศาลให้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์ของตนเองก็ได้
จากตัวอย่างข้างต้น
นายไข่ไม่สามารถขายบ้านของตนให้กับนายขวดไม่อาจยกแหวนเพชรราคา 50,000 บาทให้แก่นางสาวจาน ไม่อาจก่อสร้างบ้านใหม่ ซ่อมแซมหรือขยายบ้านเก่าให้ใหญ่ขึ้นได้ นอกจากจะต้องขอความยินยอมจากนายไก่ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์เสียก่อน
4.4 คู่สมรส หมายความ ถึงสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายโดยหลักแล้วคู่สมรสฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถทำนิติกรรมโดยลำพังตนเองได้ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมสรอีกฝ่ายหนึ่ง แต่มีข้อยกเว้นในการทำนิติกรรมบางประเภทเท่านั้นที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส กฎหมายกำหนดให้การทำนิติกรรมนั้น ๆ
คู่สมรสโดยต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งก่อน หากฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะเช่น ขาย
แลก เปลี่ยน ขายฝาก
ให้เช่าซื้อ จำนอง ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า 3
ปี ให้กู้ยืมเงินให้โดยเสน่หา ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น
นายชายเป็นสามีของนางหญิง
นายชายต้องการบ้านที่ตนอยู่ตามลำพัง
นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ
ต้องได้รับความยินยอมจากนางหญิงเสียก่อน
5. วัตถุประสงค์ของของนิติกรรม
หมายถึงประโยชน์อันเป็นผลสุดท้ายที่ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมประสงค์จะให้เกิดหรือให้เป็นผลขึ้นมา เช่น
ทำสัญญาซื้อบ้านผู้ซื้อต้องการได้กรรมสิทธ์ในบ้านมาเป็นของตน ฝ่ายผู้ขายต้องการได้เงินจากการขายบ้าน เป็นต้น แต่หากนิติกรรมนั้นมีวัตถุประสงค์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว นิติกรรมเป็นโมฆะ
วัตถุประสงค์ของนิติกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมี 3
กรณีดังนี้
5.1
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย กล่าวคือมีกฎหมายห้ามไว้ไม่ให้กระทำ เช่น
การซื้อขายยาเสพติด การจ้างฆ่าคน การติดสินบนเจ้าพนักงาน หรือการทำพินัยกรรมในกรณีที่อายุยังไม่ครบ 15
ปี เป็นต้น
5.2
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย
กล่าวคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยแน่แท้
เช่น ทำสัญญาซื้อม้าชื่อสิรินภา แต่ม้าตัวดังกล่าวตายก่อนทำสัญญา ถือว่าสัญญาซื้อขายม้ามีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย
หรือทำสัญญาว่าจะย้ายดอกอินทนนท์มาไว้ที่กรุงเทพฯ
ถือเป็นเรื่องมีวัตถุประสงค์เป้ฯการพ้นวิสัยไม่อาจชำระหนี้ให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์นั้นได้
5.3
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศิลธรรมอันดีของประชาชน เช่น
รับจ้างเป็นชู้กับภรรยาของคนอื่น เป็นต้น
6. เจตนาของบุคคลในการทำนิติกรรม
ซึ่งโดยหลักทั่วไปของนิติกรรม
ต้องเป็นการกระทำของบุคคลโดยมีการแสดงเจตนา
การแสดงเจตนาจะมีผลสมบูรณ์เมื่อการแสดงเจตนากับการแสดงออกเหมือนกัน แต่ถ้าการแสดงออกไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงที่มีอยู่ในใจอาจทำให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะได้แล้วแต่กรณี
ความบกพร่องของการแสดงเจตนาที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์มีดังนี้
6.1 การแสดงเจตนาซ่อนเร้น หมายถึงการแสดงเจตนาหลอก เพราะผู้แสดงเจตนาได้แสดงเจตนาออกมาเพียงหลอก
ๆ ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันจริงจังดังที่แสดงออกมานั้น กล่าวคือปากกับใจไม่ตรงกัน
ผลของการแสดงเจตนาซ่อนเร้นนิติกรรมยังคงสมบูรณ์อยู่
คู่กรณีทั้งสองฝ่ายยังคงมีสิทธิและหน้าที่ตามนิติกรรมที่แสดงออกทุกอย่าง
เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันแท้จริงในใจ จึงจะทำให้นิติกรรมที่แสดงออกมานั้นตกเป็นโมฆะ
ตัวอย่าง เช่น นายไก่เสนอจะขายบ้านให้แก่นายไข่ ในราคา 1,000,000 บาท
จริง ๆ แล้วนายไก่ไม่มีเจตนาที่จะขายบ้านแต่มีเจตนาเพียงแต่จะยืมเงินแล้วจะใช้คืนในภายหลัง แต่นายไข่ไม่ทราบเจตนานั้น โดยมีเจตนาแท้จริงที่จะซื้อขายบ้านกับนายไก่ ภายหลังนายไก่จะค้านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ
โดยอ้างเหตุว่าตนไม่เจตนาที่แท้จริงที่จะขายบ้านไม่ได้
แต่หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป นายไข่รู้ว่านายไก่มีเจตนาจะยืมเงิน และการซื้อขายบ้านนั้นทำเพื่อลวงเท่านั้น มีผลให้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ
6.2 การแสดงเจตนา หมายถึงคู่กรณีไม่มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมกันจริง
ๆ แต่ทำขึ้นเพื่อหลอกบุคคลภายนอก นิติกรรมที่เกิดจากเจตนาลวงตกเป็นโมฆะ แต่ห้ามยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกที่สุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
ตัวอย่าง เช่น
นายไก่ต้องการจะเป็นผู้จัดการธนาคาร
แต่ไม่มีทรัพย์สินเพื่อวางประกันในการเข้าทำงาน
นายไก่จึงสมรู้กับนายไข่ทำสัญญาขึ้นฉบับหนึ่งซึ่งนายไข่ลวงขายที่ด้นของตนให้กับนายไก่
เพื่อให้เป็นเจ้าของที่ดินแทนนายไข่แต่เพียงในนามเท่านั้น สัญญาซื้อขายนี้เป็นสัญญาลวง ตกเป็นโมฆะ
แต่หากนายขวดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น
และเชื่อว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นที่ดินของนายไก่
จึงให้นายไก่ยืมเงินไปโดยนายไก่นำที่ดินแปลงดังกล่าวจำนองไว้ นายไข่จะอ้างว่าสัญญาจำนองนั้นเป็นโมฆะ เพราะว่านายไก่ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงไมได้
6.3 นิติกรรมอำพราง หมายถึงในระหว่างคู่กรณีจะมีการทำนิติกรรมขึ้นเป็น
2 ลักษณะ กล่าวคือ
นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงที่ทำขึ้นเพื่อลวงผู้อื่นให้เข้าใจว่าคู่กรณีได้ตกลงทำนิติกรรมลักษณะนี้กัน และอีกลักษณะคือ
นิติกรรมที่ถูกอำพรางอันเป็นนิติกรรมที่แท้จริงของคู่กรณีที่ปกปิดอำพรางไว้ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นรู้
ดังนั้นในระหว่างคู่กรณีจะต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางนี้
ตัวอย่าง เช่น นายจันทร์กู้เงินนายอังคาร
โดยนายจันทร์มอบที่ดินให้นายอังคารเพื่อใช้ประโยชน์
แต่นายอังคารเกรงเจ้าหนี้คนอื่นของนายจันทร์จะยึดที่ดิน นายอังคารจึงให้นายจันทร์ทำสัญญาซื้อขายเพื่ออำพรางไว้ ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินจึงเป้ฯนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
เช่นนี้กฎหมายให้คู่กรณีบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงิน จะบังคับตามสัญญาซื้อขายที่เปิดเผยไมได้
แต่อย่างไรก็ตามนิติกรรมอำพรางนั้น จะต้องทำให้ถูกต้องตาม “แบบ” ที่กฎหมายบังคับไว้ด้วย
มิฉะนั้นนิติกรรมอำพรางนั้นย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
โจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยเป็นการอำพรางการจำนอง
นิติกรรมฉบับแรกคือสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมเปิดเผย ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะว่าเป็นการแสดงเจตนาลวง ส่วนนิติกรรมฉบับหลังคือสัญญาจำนองเป็นนิติกรรมอำพราง
ในระหว่างคู่สัญญาต้องบังคับตามนิติกรรมอำพราง
คือสัญญาจำนองแต่ว่าการจำนองไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้
จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการจำนองแต่เป็นเพียงการกู้เงินโดยอาศัยเอกสารการขายฝากที่ดินที่ทำกันไว้ ณ
สำนักงานที่ดินเป็นสัญญากู้เงิน
6.4 ความสำคัญผิด เป็นเรื่องการเข้าใจความจริงที่ไม่ถูกต้อง
กล่าวคือเหตุการณ์เป็นอย่างหนึ่งแต่เข้าใจว่าเป็นอีกอย่างหนึ่ง การสำคัญผิดที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์แบ่งได้เป็น
2 กรณีคือ
1)
สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
เป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญของนิติกรรมซึ่งมีผลทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ
ตัวอย่าง 1. นายเอกต้องการจำนองที่ดินแก่นายโท
แต่นายเอกอ่านหนังสือไม่ออกและเชื่อใจนายโท
นายโทจึงนำสัญญามาให้ลงชื่อโดยบอกว่าเป็นสัญญาจำนอง
แต่ความจริงเป็นสัญญาขายที่ดินหรือยกที่ดินให้นายโทหากมีการไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามสัญญาขายหรือสัญญาให้นิติกรรมนั้นถือเป็นการแสดงเจตนาทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ซึ่งเป็นโมฆะ
2.
นายหนึ่งส่งมอบนาฬิกาให้แก่นายสองโดยเจตนาจะฝากไว้ แต่นายสองสำคัญผิดว่านายหนึ่งให้โดยเสน่หา การให้ถือเป็นโมฆะ
3. นายเอกให้เงิน 10,000
บาทกับฝาแฝดชื่อนายใหญ่
ซึ่งนายเอกเชื่อว่าเป็นนายเล็กแฝดผู้น้อง
ถือเป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่เกี่ยวข้องในนิติกรรม การแสดงเจตนาของนายเอกเป็นโมฆะ
2)
สำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นความสำคัญผิดในมูลเหตุจูงใจให้ทำนิติกรรม ซึ่งหากเป้ฯการสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์นั้นเป้ฯสาระสำคัญ
จะมีผลในทางกฎหมายทำให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง 1.
นายไก่สั่งให้นายไข่ปลูกบ้าน
โดยเชื่อว่านายไข่เป็นวิศวกร
และไม่เคยปลูกสร้างบ้านเรือนมาก่อน
นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ
เพราะสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล
2. นายหนึ่งซื้อชามลายครามจากนายสอง โดยมีเจตนาจะซื้อชามกังใส
ปรากฏว่าชามใบนั้นเป็นของใหม่และทำปลอมขึ้นมา นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ เพราะสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม
6.5 การแสดงเจตนาเพราะเหตุกลฉ้อฉล กลฉ้อฉล
หมายถึง
การหลอกลวงให้เขาสำคัญผิด
ต่างกับสำคัญผิด
เนื่องจากสำคัญผิดเกิดขึ้นจากความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาเอง
แต่กลฉ้อฉลเป็นเรื่องการสำคัญผิดซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาเอง หากเป็นเพราะมีบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งอาจเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกมาหลอกลวงให้สำคัญผิด ผลของการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง 1.
นายใหญ่เป็นพ่อค้ารถมือสองซื้อรถเก่ามาทำสีใหม่และเปลี่ยนเครื่องมาแล้ว ขายรถให้แก่นายเล็กโดยบอกว่าเป็นรถใหม่ ถือเป็นกลฉ้อฉล และการแสดงเจตนาของนายเล็กเป็นโมฆียะ
2. นายจิมขายม้าให้กับนายจอน โดยหลอกว่าม้ามีอายุ 3 ปี
แต่ความจริงม้าตัวนั้นมีอายุ 10 ปี
ถือเป็นกลฉ้อฉล ทำให้สัญญาซื้อขายม้าเป็นโมฆียะ
แต่หากกลฉ้อฉลซึ่งคู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยต่างฝ่ายต่างทำการฉ้อฉลด้วยกัน ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะหยิบยกเอกกลฉ้อฉลนั้นขึ้นมาบอกล้างนิติกรรม หรือเรียกค่าสินไหมทดแทนไม่ได้
ตัวอย่าง เช่น
นายไก่จูงใจให้นายไข่ซื้อห้องเย็นของตนโดยแจ้งว่าทันสมัยรักษาความเย็นได้ดีมากแต่โดยความเป็นจริงมีขนาดเล็กและเครื่องเสียใช้การไม่ได้ ส่วนนายไข่ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทมาเพื่อซื้อห้องเย็นนั้น
ซึ่งทั้งนายไก่และนายไข่กระทำการด้วยกลฉ้อฉลทั้งคู่
จะบอกล้างหรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในภายหลังไม่ได้
6.6 จากแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่ การข่มขู่
หมายถึง การทำให้กลัวภัยอันใดอันหนึ่ง
เพื่อให้เขาทำนิติกรรม
ถ้าหากไม่ทำตามที่บอกจะได้รับภัยแต่หากการข่มขู่นั้นทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกลัวเพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย หรือเพราะความนับถือยำเกรง
ไม่ถือเป็นการข่มขู่ เช่น ขู่ว่าจะฟ้องคดี
ขู่ว่าจะบอกเลิกสัญญาหรือเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องเคารพยำเกรง เช่น
ลูกกับพ่อ ศิษย์กับอาจารย์ กรณีเหล่านี้ไม่ใช่การข่มขู่
ผลของการแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่มีผลเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง เช่นนายสมเดชขอยืมเงินนางน้อย 1,000,000
บาท
โดยขู่ว่าถ้าไม่ให้จะเอาไฟเผาบ้าน
การแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่มีผลเป็นโมฆียะ
หรือจากตัวอย่างข้างต้น นายสมเดชขู่บิดาหรือสามีของนางน้อยก็ถือเป็นการข่มขู่ซึ่งมีผลเช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง เช่น นายไก่เป็นเจ้าหนี้นายไข่
เมื่อถึงเวลาชำระหนี้นายไข่ขอผัดผ่อนการชำระหนี้
แต่นายไก่ไม่ยอมและขู่ว่าจะฟ้องร้องเรียกเงินที่ค้างชำระและจะยึดทรัพย์สินของนายไข่ เช่นนี้ไม่ถือเป็นการข่มขู่
7. นิติกรรมที่เป็นโมฆะ
นิติกรรมที่เป็นโมฆะ
ถือเป็นความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมประเภทหนึ่งคำว่า “โมฆะกรรม” หมายถึง
นิติกรรมใดหรือการกระทำใดที่กระทำลงไปนั้นเป็นการเสียเปล่าไม่มีผลตามกฎหมาย
ในสายตาของกฎหมายเท่ากับว่าไม่ได้ทำกิจการนั้นเลย แม้จะแสดงเจตนาผูกพันกันประการใดก็ตาม สิทธิและหน้าที่ที่ผู้กระทำนิติกรรมหรือการดังกล่าวประสงค์ให้เกิดผลก็หาเกิดความผูกพันตามกฎหมายไม่
การเสียเปล่านี้มีมาแต่เริ่มแรกที่กระทำนิติกรรมต่อกัน
กล่าวโดยสรุป “โมฆะกรรม” หมายถึง นิติกรรมที่เสียเปล่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย ไม่มีผบตามกฎหมาย และไม่สามารถให้สัตยาบันให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ได้
เหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะมีดังนี้
1)
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
2)
นิติกรรมที่มิได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้
3)
นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาซ่อนเร้นโดยคู่กรณีรู้ถึงเจตนาที่ซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดง แสดงเจตนาลวง
อำพราง
หรือสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
4)
นิติกรรมที่เป็นโมฆะกรรมแล้วถูกบอกล้างในภายหลัง
5) นิติกรรมเป็นโมฆะเพราะเหตุอื่น
ๆ ที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น
การทำพินัยกรรมของผู้เยาว์ที่อายุไม่ครบ
15 ปีบริบูรณ์
8. นิติกรรมที่เป็นโมฆียะ
นิติกรรมที่เป็นโมฆียะ ถือเป็นความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมประเภทหนึ่ง “โมฆียกรรม”
หมายถึงนิติกรรมที่อาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะแต่เริ่มแรกได้แต่ตามความหมายทางกฎหมายนั้น นอกจากโมฆียกรรมอาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะแต่เริ่มแรกได้แล้ว
โมฆียะกรรมอาจได้รับสัตยาบันทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์แต่เริ่มแรกได้เช่นกัน
กล่าวโดยสรุป “โมฆียะ”
หมายถึง
นิติกรรมที่มีผลจนกว่าจะถูกบอกล้างโดยผู้มีอำนาจบอกล้างตามกฎหมาย
การให้สัตยาบัน
คือการรับรองนิติกรรมที่เป็นโมฆียะให้มีผลสมบูรณ์โดยผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรราม เช่น
ผู้แทนโดยชอบธรรม
ซึ่งมีผลให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก
แต่การให้สัตยาบันนั้นต้องทำภายหลังที่นิติกรรมอันเป็นโมฆียะได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
ตัวอย่าง เช่น นายแดงอายุ 16
ปีซื้อรถมอเตอร์ไซด์ ราคา 60,000
บาทโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมเป็นโมฆียะ
แต่บิดามารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมเห็นว่าราคาถูกจึงไม่บอกล้างหรือให้การรับรองนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ ถือเป็นการให้สัตยาบัน ทำให้นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่เริ่มแรก
เหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะมีดังนี้
1)
เป็นบุคคลผู้หย่อนความสามารถ
2)
เป็นการแสดงเจตนาโดยความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์ การแสดงเจตนาเพราะกลฉ้อฉล หรือเพราะเหตุข่มขู่
ผลของนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ มีผลตามกฎหมายดังนี้
1)
โมฆียะกรรมสามารถบอกล้างได้
2)
โมฆียกรรมสามารถให้สัตยาบัน
3)
โมฆียกรรมเมื่อบอกล้างแล้วคู่กรณีให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม เช่น
นายเล็กเป็นผู้เยาว์
นำรถจักรยานไปขายให้นายใหญ่
มีผลเป็นโมฆียะ
เมื่อผู้แทนโดยชอบธรรมบอกล้างนิติกรรม
นายใหญ่ต้องคืนจักรยานให้นายเล็ก
นายเล็กต้องคืนเงินให้กับนายใหญ่
กำหนดระยะเวลาในการบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ กฎหมายกำหนดไว้เป็น 2 ช่วงเวลา ดังนี้
1)
ต้องบอกล้างภายในระยะเวลา 1 ปี
นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรือ
2)
ต้องบอกล้างภายใน 10 ปี นับแต่ทำนิติกรรม
ตัวอย่าง เช่น
นายอเนกอายุ 17 ปีขายรถยนต์ให้กับนายอนันต์ นิติกรรมเป็นโมฆียะ แต่เมื่อนายอเนกอายุครบ 20
ปี อาจบอกล้างได้ภายใน 1
ปีนับแต่วันที่บรรลุนิติภาวะได้
หรือหากบิดาของนายอเนกซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมรู้ว่าได้มีการทำนิติกรรมที่เป็นโมฆียะก็สามารถบอกล้างได้ภายใน
1 ปีนับแต่เวลาที่ทำนั้น
หรือจากตัวอย่างเดิม
นายอเนกหรือบิดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมจะบอกล้างได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ขายรถก็ทำได้
แต่อย่างไรก็ตามการบอกล้างภายใน 1
ปีนับแต่ให้สัตยาบันนั้นต้องไม่เกินกว่า 10 ปีนับแต่วันที่ทำนิติกรรม