สภาพบุคคลของบุคคลธรรมดาย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตาย
(ตาม ป.พ.พ. มาตรา 15) แต่นอกจากการตายซึ่งถือว่าเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว
สภาพบุคคลยังสิ้นสุดลงได้ด้วยการสาบสูญอีกประการหนึ่งซึ่งกฎหมายถือว่าผู้นั้นถึงแก่ความตาย เช่นเดียวกับการตายตามธรรมดา
การตาย การตายของบุคคลธรรมดา เป็นการสิ้นสภาพบุคคลซึ่งทำให้สิทธิและหน้าที่ความรับผิดอันเป็นการเฉพาะตัวของบุคคลนั้นระงับไป
สภาพบุคคลสิ้นสุดไปทันที่นับแต่เวลาตายโดยปกติแล้วย่อมจะทราบเวลาและวันโดยแน่นอนเพราะตาม
พ.ร.บ. ทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. 2499
ได้มีการกำหนดบังคับเกี่ยวกับเรื่องแจ้งการตายไว้แล้ว
ในกรณีที่บุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน เช่น
ไฟไหม้ เรืออับปราง เครื่องบินตก
รถยนต์ชนกัน เป็นต้น
บุคคลหลายคนนั้นไม่จำเป็นต้องไปร่วมกันแต่อาจเกิดภัยภยันตรายร่วมกัน เช่น
เกิดรถยนต์ชนกันเป็นเหตุที่ต่างฝ่ายมีส่วนร่วมกันก่อขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเหตุที่เกิดขึ้นร่วมก็มีเช่น เรือล่ม
เครื่องบินตก รถคว่ำ ผู้โดยสารตายหมด ไม่สามารถจะทราบได้ว่าใครตายก่อนหลัง กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ว่าตายพร้อมกันตาม ป.พ.พ.
มาตรา 17 ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีบุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะกำหนดได้ว่าคนไหนตายก่อนหลังให้ถือว่าตายพร้อมกัน”
ตัวอย่าง เช่น
แดง ดำ
และขาวร่วมเดินทางไปกับรถยนต์โดยสารสายกรุงเทพฯหาดใหญ่ ปรากฏว่าไปชนกับรถบรรทุกสิบล้อ
ผู้โดยสารทั้งหมดที่มากับรถยนต์โดยสารตายหมดรวมทั้งพนักงานประจำรถโดยสารคันดังกล่าวด้วยเช่นนี้ถือว่าทุกคนที่โดยสารมาตายพร้อมกัน
สาบสูญ
คือการที่บุคคลไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ โดยไม่มีใครรู้แน่นอนว่าบุคคลที่จากยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว
เมื่อครบตามกำหนดที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นคนสาบสูญตาม
ป.พ.พ. มาตรา 61
บัญญัติว่า
“ถ้าบุคคลได้จากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี
เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องของศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้
ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี
(1)
นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง
ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
(2)
นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางอับปรางถูกทำลายหรือสูญหายไป
(3)
นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2)
ได้ผ่านพ้นไปถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
หลักเกณฑ์ที่จะถือว่าบุคคลใดเป็นคนสาบสูญ
1. บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนา
หรือถิ่นที่อยู่ไปโดยไม่ได้ข่าวคราวเป็นเวลาห้าปีในกรณีธรรมดาหรือเป็นเวลาสองปีในกรณีพิเศษ และ
2.
ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ และ
3. ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ
เหตุที่จะขอศาลให้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้นมี 2
กรณี คือ
กรณีธรรมดา
หมายถึงบุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น
หรือทราบข่าวคราวเป็นเวลาติดต่อกันห้าปีแล้ว เช่น
นายสุเทพ
หายไปจากบ้านซึ่งเป็นภูมิลำเนาโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือทราบข่าวคราวเลยเป็นเวลาติดต่อกันห้าปี
ภริยาของนายสุเทพหรือทายาทคนหนึ่งคนใดซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการก็มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายสุเทพเป็นคนสาบสูญ
กรณีพิเศษ หมายถึงบุคคลนั้นได้ไปตกอยู่ในภยันตรายแก่ชีวิต เช่น
ในสมรภูมิแห่งสงครามหรือในเรือเมื่ออับปราง หรือไฟไหม้
เป็นต้น
หากนับเวลาตั้งแต่ภยันตรายแก่ชีวิตนั้นได้สิ้นสุดลงเป็นเวลาผ่านพ้นไปสองปียังไม่ทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เช่น
สิบเอกสมชายไปสงครามที่ชายแดนเมื่อสงครามสงบแล้วปรากฏว่าสิบเอกสามชายไม่กลับมาด้วยเวลาได้ผ่านพ้นไปสองปีก็ไม่รู้ว่ามีชิวิตอยู่หรือไม่ ภริยาของสิบเอกสมชายหรือทายาทคนใดคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพยักงานอัยการมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอต่อศาล
เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้สิบเอกสมชายเป็นคนสาบสูญสำหรับในกรณีพิเศษนี้
สำหรับเรื่องเวลาเริ่มต้นของการสาบสูญมีปัญหาว่ามีผลบังคับแต่เมื่อใดซึ่งในเรื่องนี้ป.พ.พ. มาตรา 62
บัญญัติว่า “บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวที่ระบุไว้ในมาตรา 61 “กล่าวคือ การสาบสูญจะเริ่มต้นมีผลเมื่อครบกำหนดห้าปีในกรณีธรรมดา
หรือสองปีในกรณีพิเศษซึ่งไม่ใช่เริ่มต้นนับแต่วันมีคำสั่งศาลหรือนับแต่วันโฆษณาคำสั่งศาลในราชกิจจานุเบกษา
เมื่อศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญแล้ว มีผลเท่ากับว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย ป.พ.พ. มาตรา 62 บัญญัติว่า “บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้คนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตาย...” ดังนั้นเมื่อถือว่าคนสาบสูญถึงแก่ความตายหมายถึงการสิ้นสภาพบุคคล
ฉะนั้นผลที่ใช้บังคับในกรณีที่มีการตายธรรมดาจึงนำมาใช้บังคับในกรณีคนสาบสูญด้วย เช่น
ทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทเว้นแต่ในบางเรื่องผลอาจแตกต่างจากการตายธรรมดา เช่น
คำสั่งศาลให้บุคคลเป็นคนสาบสูญไม่ทำห้ากรสมรสขาดจากกันถ้าฝ่ายที่ยังอยู่จะทากรสมรสใหม่ต้องนำคำสั่งสาบสูญไปเป็นหลักฐานในการฟ้งหย่าตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1516 (5)
หากต่อมาพิสูจน์ได้ว่าบุคคลที่สาบสูญนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ หรือว่าได้ถึงแก่ความตายแล้วแต่ตายในเวลาอื่นผิดไปจากเวลาที่กฎหมายกำหนดสันนิษฐานไว้ คือ
5 ปีในกรณีธรรมดาหรือ 2
ปีในกรณีพิเศษ
เมื่อบุคคลผู้นั้นเองหรือผู้ใดผู้หนึ่งมีส่วนได้เสีย
หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลศาลจะต้องถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญ นั้นแต่การถอนคำสั่งนี้ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์แห่งการทั้งหลายอันได้ทำไปโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่ศาลมีคำสั่ง แสดงความสาบสูญจนถึงเวลาถอนคำสั่งนั้น แต่อย่างหนึ่งอย่างใด (ป.พ.พ
มาตรา 63) เช่น ก. ได้บ้านมา
2 หลังโดยทางมรดกของ ข. คนสาบสูญ ต่อมา
ข. กลับมาและศาลถอนคำสั่งสาบสูญ เช่นนี้
ก. ต้องคืนบ้านทั้งสองหลังให้ ข.
แต่ถ้า ก ได้ขายบ้านหลังหนึ่งให้แก่ ค. โดยสุจริตคือไม่ทราบความจริงว่า ข.
ยังมีชีวิตอยู่
ดังนี้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่าง ก.
กับ ค. มีผลสมบูรณ์ ข.
จะขอเพิกถอนสัญญาซื้อขาย
เพื่อเรียกเอาบ้านหลังนั้นคืนไม่ได้
คำสั่งศาลแสดงสาบสูญหรือคำสั่งถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญต้องโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา เพราะเป็นคำสั่งเกี่ยวกับสถานะของบุคคล มีความสำคัญต้องประกาศในเอกสารของทางราชการ
(ป.พ.พ. มาตรา 64)
ผลในทางกฎหมายของการเริ่มสภาพบุคคล และการสิ้นสุดสภาพบุคคล มีกรณีที่ควรพิจารณาบางประการดังต่อไปนี้
ทางแพ่ง การรู้สภาพบุคคลเกิดขึ้นเมื่อใดก็เพื่อวินิจฉัยถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคลนั้นรวมทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดที่เกี่ยวโยงและผูกพันถึงบุคคลอื่นด้วยเพราะสิทธิของบุคคลจะมีขึ้นตั้งแต่เกิดมามีชีวิตรอกอยู่คือเริ่มมีสภาพบุคคลหรืออาจย้อนขึ้นไปจนถึงวันที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาเช่น สิทธิในการเป็นทายาทรับมรดก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1604
ที่บัญญัติว่า “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคล หรือสามารถมีสิทธิตามาตรา 15
แห่งประมวลกฎหมายนี้ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย...”
ส่วนการตายทำให้สิทธิและหน้าที่ของบุคคลสิ้นสุดลง และทรัพย์ของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท (ป.พ.พ.
มาตรา 1599)
การพิจารณาว่ากองมรดกผู้ตายมีทรัพย์สินอะไรบ้างและมีสิทธิหน้าที่และมีนสิทธิหน้าที่และความรับผิดอย่างไร กับการพิจารณาหาทายาทในการรับมรดก กฎหมายให้พิจารณาในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้นการรู้วันเกิด วันตายของบุคคลจึงมีความสำคัญ
ทางอาญา
การวินิจฉัยความรับผิดในทางอาญาของผู้กระทำความผิดต่อทารกที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดาว่าจะเป็นความผิดฐานฆ่าคนตาย ตาม ป.อาญามาตรา 288 หรือความผิดฐานทำให้แท้งลูก ตาม ป.
อาญา มาตรา 301
ถึงมาตรา 305
จำเป็นต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าทารกมีสภาพบุคคลแล้วหรือไม่ กล่าวคือ
องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าคนตายนั้นผู้ถูกกระทำต้องเป็นบุคคลธรรมดาคือ
ทารกต้องมีสภาพบุคคลก่อนแล้วผู้ที่กระทำให้ทารกนั้นถึงแก่ความตายจึงจะมีความผิดฐานฆ่าคนตายถ้าระหว่างที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา
ยังไม่เกิดมารอดอยู่จึงยังไม่เป็นบุคคลที่จะถูกฆ่าได้
หรือทารกที่ตายก่อนคลอดหรือตายระหว่างคลอด
เป็นการคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิตไม่มีสภาพบุคคลจึงไม่เป้ฯบุคคลที่จะถูกฆ่าได้เช่นกัน ดังนั้น
ผู้ที่ทำให้ทารกตายก่อนคลอดหรือตายขณะคลอด
ซึ่งทารกยังไม่มีสภาพเป้ฯบุคคลจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตาย แต่อาจมีความผิดทำให้แท้งลูกตาม ป. อาญา มาตรา
301 ถึงมาตรา 305 ซึ่งมีโทษน้อยกว่าความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาในทางตรงกันข้ามถ้าทารกคลอดแล้วมีชีวิตอยู่รอด แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพียงชั่วขณะเดียวก็จะมีสภาพบุคคล ผู้ที่ทำให้ทารกตายอาจมีความผิดฐานฆ่าคนตายได้
อนึ่ง เมื่อบุคคลตายแล้ว สิ้นสภาพบุคคลกลายเป็นศพ
ก็ไม่เป็นบุคคลที่จะถูกฆ่าได้อีกเช่นเดียวกัน ผู้ที่ประทุษร้ายต่อศพย่อมไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตาย ตัวอย่าง
นายเขียวใช้มีดปลายแหลมแทงนายดำ
ซึ่งตายมาแล้ว 2 วันทำให้ศพนั้นเละ เช่นนี่นายเขียวย่อมไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายตาม
ป. อาญา มาตรา 288